ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับดอยอินทนนท์

ความเป็นมา


 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ประกาศเป็นอุทยานฯ เมื่อ พ.ศ.2515 ประกาศเป็นอุทยานฯ เป็นลำดับที่ 6 ของประเทศไทย มีพื้นที่ 482.4 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่  ดอยอินทนนท์แต่เดิมดอยนี้มีชื่อว่า "ดอยหลวง" หรือ "ดอยอ่างกา"ดอยหลวง มาจากขนาดของดอยที่ใหญ่มาก ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "ดอยหลวง" (หลวง: เป็นภาษาเหนือ แปลว่า ใหญ่)

               ดอยอ่างกา มีเรื่องเล่าว่า ห่างจากยอดดอยไปทางทิศตะวันตกประมาณ 300 เมตร มีหนองน้ำแห่งหนึ่งลักษณะเหมือนอ่าง ฝูงกาจำนวนมากมายมักพากันไปเล่นน้ำที่หนองน้ำแห่งนี้ จึงพากันเรียกว่า "อ่างกา" และภูเขาขนาดใหญ่แห่งนั้นก็เลยเรียกกันว่า "ดอยอ่างกา"แต่ก็มีบางกระแสกล่าวว่า คำว่า "อ่างกา" นั้น แท้จริงแล้วมาจากภาษาปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) แปลว่า "ใหญ่"เพราะฉะนั้นคำว่า "ดอยอ่างกา" จึงแปลว่าดอยที่มีความใหญ่นั่นเอง

               ดอยอินทนนท์ อดีตกาลก่อนป่าไม้ทางภาคเหนืออยู่ในความควบคุมของเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ สมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ (องค์สุดท้าย) พระองค์ให้ความสำคัญกับป่าไม้อย่างมาก โดยเฉพาะป่าในบริเวณดอยหลวง ทรงรับสั่งว่า หากสิ้นพระชนม์ลงให้นำอัฐิบางส่วนขึ้นไปสร้างสถูปบรรจุไว้บนดอย ดอยนี้จึงมีนามเรียกขานว่า "ดอยอินทนนท์"

แต่มีข้อมูลบางกระแสกล่าวว่า ที่ดอยหลวงเรียกว่า ดอยอินทนนท์ นั้น เป็นเพราะเนื่องจากว่าเป็นการให้เกียรติ เจ้าผู้ครองนคร จึงตั้งชื่อจากคำว่า "ดอยหลวง" ซึ่งเป็นชื่อที่มีความซ้ำกับดอยหลวง ของอำเภอเชียงดาว แต่ภายหลังมีชาวเยอรมัน มาทำการสำรวจและวัด ซึ่งปรากฎผลว่า ดอยหลวง หรือดอยอ่างกา ที่อำเภอแม่แจ่มมีความสูงกว่า ดอยหลวง ของอำเภอเชียงดาว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน และเรียกดอยแห่งนี้ว่า "ดอยอินทนนท์"


               อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เดิมเป็นส่วนหนึ่งของ "ป่าสงวนแห่งชาติดอยอินทนนท์" ต่อมาได้ถูกสำรวจและจัดตั้งเป็นหนึ่งในสิบสี่ ป่าที่ทางรัฐบาลให้ดำเนินการเป็นอุทยานแห่งชาติซึ่งครั้งแรกกรมป่าไม้เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ให้มีพื้นที่ 1,000 ตร.กม. หรือประมาณ 625,000 ไร่ แต่เนื่องจากพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ อาศัยอยู่ก่อนหลายชุมชน จึงทำการสำรวจใหม่ และกันพื้นที่ที่ราษฎร อยู่มาก่อน และคาดว่าจะมีปัญหาในอนาคตออก จึงเหลือพื้นที่ที่จะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ 270 ตร.กม. หรือประมาณ 168,750 ไร่ ประกาศลงวันที่ 2 ตุลาคม 2515 และในวันที่ 13 มิถุนายน 2521 รัฐบาลประกาศพื้นที่เพิ่มอีกเป็น 482.4 ตร.กม. อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ มีความสูงจากระดับน้ำทะลปานกลาง 400-2,565.3341 เมตร เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยสำหรับวัตถุประสงค์ในการกำหนดที่ดินให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 หมวด 1 มาตรา 6 ดังนี้

"เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดบริเวณที่ดินแห่งใดมีสภาพธรรมชาติเป็นที่น่าสนใจ ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมเพื่อสงวนไว้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน ก็ให้มีอำนาจกระทำโดยประกาศพระราชกฤษฎีกาด้วยบริเวณที่กำหนดนี้เรียกว่า อุทยานแห่งชาติ"


สถานที่ตั้ง
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย มีพื้นที่อยู่ในท้องที่อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม กิ่งอำเภอดอยหล่อ และอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ในระว่างเส้นรุ้งที่ 18 องศา 24 ลิปดา ถึง 18 องศา 40 ลิปดา หรือ และแส้นแวงที่ 98 องศา 24 ลิปดา ถึง 98 องศา 42 ลิปดา ตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 301,500 ไร่ หรือประมาณ 482.1 ตารางกิโลเมตร สามารถเข้าถึงได้โดยใช้เส้นทาง เชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ไปยังอำเภอจอมทอง 50 กม. ระยะทางประมาณ 50 กม. เลี้ยวขวาตามถนนสาย จอมทอง-ดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) ประมาณ 8 กม. ก็จะเริ่มเข้าเขตอุทยานแห่งชาติที่บริเวณน้ำตกแม่กลาง และตัดขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์เป็นระยะทางทั้งหมด 49.8 กม. ที่ทำการอุทยานแห่งชาติจะตั้งอยู่ที่กิโลเมตรที่ 31

พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติ จะอยู่ในเขตอำเภอจอมทอง โดยมีอาณาเขตดังนี้
























  • ทิศเหนือ อยู่ในเขตตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม และตำบลแม่วิน ตำบลทุ่งปี้ อำเภอแม่วาง
  • ทิศใต้ อยู่ในเขตตำบลบ้านหลวง และตำบลดอยแก้ว อำเภอจอมทอง
  • ทิศตะวันออก อยู่ในเขตตำบลสองแคว ตำบลยางคราม และตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง
  • ทิศตะวันตก อยู่ในเขตตำบลแม่นาจร ตำบลช่างเคิ่ง และตำบลท่าผา อำเภอแม่แจ่ม

สำหรับอาณาเขตของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จะครอบคลุมพื้นที่ตามแนวเขตการปกครอง 4 อำเภอ และ 9 ตำบล 16 หมู่บ้าน 32 หย่อมบ้าน ในจังหวัดเชียงใหม่ดังต่อไปนี้

  • อำเภอจอมทอง ตำบลสองแคว ตำบลยางคราม ตำบลบ้านหลวง ตำบลสบเตี๊ยะ
  • อำเภอแม่แจ่ม ตำบลแม่นาจร ตำบลช่างเคิ่ง ตำบลท่าผา
  • อำเภอแม่วาง ตำบลแม่วิน ตำบลทุ่งปี้
  • อำเภอดอยหล่อ


สภาพภูมิอากาศ
นื่องจากอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ดังนั้น สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไปของพื้นที่อุทยานฯ จึงได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดเอาความชุ่มชื้นและเมฆฝนเข้ามา ทำให้ฝนตก และลมตะวันออกเหนือที่พัดมาจากประเทศจีน จะนำเอาความหนาวเย็นและความแห้งแล้งเข้ามา ทำให้เกิดฤดูกาลต่าง ๆ โดยจะมีฤดูร้อนในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม ? พฤษภาคม ฤดูฝนในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน ? พฤศจิกายน และฤดูหนาวในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม ? กุมภาพันธ์ สลับกันไป

               อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพทางกายภาพของพื้นที่อุทยานฯ มีความหลากหลายทางด้านระดับความสูงของพื้นที่และมีลักษณะของพื้นที่เป็นเทือกเขาที่สลับซับซ้อนและสูงมาก (ระดับความสูงระหว่าง 400 ? 2,565 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) อีกทั้งพื้นที่อุทยานฯ ค่อนข้างจะกว้างขวางถึง 301,500 ไร่ ทำให้ลักษณะอากาศในแต่ละจุดในพื้นที่ของอุทยานฯ มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยจะมีลักษณะของสภาพอากาศแบบเขตร้อน (tropical climate) ในตอนล่างของพื้นที่ที่มีระดับความสูงต่ำกว่า 1,000 เมตร ลงมา มีสภาพอากาศแบบกึ่งเขตร้อน (sub-tropical climate) ในบริเวณตอนกลางของพื้นที่ที่มีระดับความสูงระหว่าง 1,000 ? 2,000 เมตร และมีสภาพอากาศแบบเขตอบอุ่น (temperate climate) ในพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่า 2,000 เมตรขึ้นไป โดยเฉพาะที่บริเวณยอดดอยอินทนนท์

                ซึ่งสภาพภูมิอากาศดังกล่าวจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจากสภาพของป่าชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ในพื้นที่ที่สูงตอนบนของอุทยานฯ โดยทั่วไปแล้วจะมีสภาพที่ชุ่มชื้นและหนาวเย็นตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งมีลักษณะเป็นสันเขาและยอดเขา จะมีกระแสลมที่พัดแรงและมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นมาก และในช่วงวันที่หนาวจัดในช่วงฤดูหนาวในเดือนธันวาคม - มกราคม อุณหภูมิจะลดต่ำลงถึง 0 ? 4 องศาเซลเซียส และจะมีน้ำค้างแข็ง (frost) เกิดขึ้นที่ระดับกลาง ๆ ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ สภาพอากาศโดยทั่วไปจะมีลักษณะค่อนข้างเย็นและชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี (annual mean temperature) ประมาณ 20 องศาเซลเซียส (ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 26 องศาเซลเซียส) ในช่วงฤดูหนาวในเดือนธันวาคม ? มกราคม อุณหภูมิเฉลี่ย (mean temperature) จะอยู่ระหว่าง 15 ? 17 องศาเซลเซียส และจะมีค่าอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุด (mean minimum temperature) 10 ? 14 องศาเซลเซียส สภาพความชุ่มชื้นของอุทยานฯ โดยทั่วไปจะชื้นกว่าตัวเมืองเชียงใหม่มาก โดยจะมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 2,000 ? 2,100 มิลลิเมตร มีค่าความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยตลอดปีประมาณ 80 % ซึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่จะมีปริมาณน้ำฝนและความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยประมาณ 1,200 มิลลิเมตร และ 70 %



สำหรับในพื้นที่อุทยานฯ ที่มีระดับความสูงตั้งแต่ 1,800 เมตร ขึ้นไป จะมีสภาพอากาศที่เย็นและชุ่มฉ่ำอยู่ ทั้งนี้เพราะจะเป็นระดับความสูงของเมฆหมอก ทำให้สภาพป่ามีเมฆและหมอกปกคลุมเกือบตลอดปี ทำให้ป่าดิบเขาของอุทยานฯ สามารถที่จะดูดซับเอาความชื้นจากละอองเมฆและหมอกหล่อเลี้ยงพื้นที่ตลอดปี


ลักษณะพืชพรรณ


นยอดดอย มีผืนป่าดิบดึกดำบรรพ์อันกว้างใหญ่สมบูรณ์ปกคลุม ซึ่งน้อยคนนักจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้ของภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศ ในอดีตมีเพียงเส้นทางเล็ก ๆ ตัดขึ้นไปสู่ป่าลึกอันชุ่มชื้นและหนาวเย็น จึงจะได้พบเห็นกล้วยไม้และพันธุ์ไม้ป่าที่สวยงามและหายากยิ่ง นับแต่รองเท้านารีอินทนนท์ที่ค้นพบเป็นแห่งแรกบนดอยนี้ เอื้องกำเบ้อ ซึ่งเป็นกล้วยไม้จำพวกซิมบิเดียม มีสีเหลืองทอง ยังมีกุหลาบพันปีที่มีลำต้นสูงใหญ่กว่ากุหลาบแดงบนภูหลวงและภูกระดึงมากมายนัก อีกทั้งดอกไม้ป่าอีกหลายชนิดที่ขึ้นดารดาษทั่วหุบเขา สลับกับพันธุ์ไม้จำพวกเฟิร์น ออสมันดา และอื่น ๆ

 

พื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ประกอบด้วยกลุ่มของสังคมพืชและป่าชนิดต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในสภาพดั้งเดิม
ป่าที่ฟื้นตัวจากการถูกทำลาย และไร่ร้างต่าง ๆ แยกออกได้เป็น 6 ประเภท คือ
  • ป่าเต็งรัง (Deciduous dipterocarp forest)
  • ป่าเต็งรังผสมสนเขา (Pine-dipterocarp forest)
  • ป่าสนผสมก่อ (Pine-oak forest)
  • ป่าดิบเขา (Hill evergreen forest)
  • ป่าเบญจพรรณ (Mixed deciduous forest)
  • ป่าดิบแล้ง (Dry evergreen forest)
  • ไร่ร้าง (Abandoned area)

ชุมชนที่อาศัยอยู่ในและรอบแนวเขตอุทยานฯ


        ชุมชนที่อาศัยอยู่ในและรอบแนวเขตอุทยานฯ ประกอบด้วยหลายชาติพันธุ์ ได้แก่ ชาวเขาเผ่าม้ง ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงหรือปกากะญอ ชาวไทยพื้นราบหรือคนเมือง ทั้งที่อาศัยอยู่มาดั้งเดิมหรืออพยพเข้ามาประมาณ 20 ? 30 ปีที่ผ่านมา กลุ่มชนผู้อพยพเดินทางมุ่งหน้าเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บนผืนดินแห่งหุบเขาของเทือกเขาอินทนนท์ กลุ่มชนแรกก็คือ ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง จนมาในปี พ.ศ. 2433 เป็นปีแรกที่ชาวเขาเผ่าม้งเดินทางอพยพมาถึงดอยอินทนนท์ และเริ่มตั้งบ้านเรือนอย่างถาวรอยู่มาจนถึงปัจจุบัน


ะเหรี่ยง หรือ ปกาเกอญอ

กะเหรี่ยงจะตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณภูเขาที่ไม่สูงนัก หรือตามพื้นราบ แต่ละหมู่บ้านจะมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึง 30 ? 40 หลังคาเรือน ลักษณะของบ้านจะเป็นไม้ไผ่สับฟาก หลังคามุงด้วยใบตองตึงหรือหญ้าคา ภายในเป็นห้องเดียวโล่ง มีเตาไฟอยู่กลางบ้านสำหรับใช้หุงต้มอาหารและให้ความอบอุ่น ลักษณะเด่นของกะเหรี่ยงที่ไม่เหมือนกับชาวเขาเผ่าอื่น ๆ ก็คือ การตั้งหมู่บ้านอย่างถาวร ทั้งนี้เพราะความสามารถในการอนุรักษ์ดิน และการทำนาแบบขั้นบันไดตามไหล่เขา ซึ่งสามารถที่จะทดน้ำจากลำห้วยลำธารที่อยู่สูงกว่าพื้นที่นาเข้าไปใช้ได้ กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาเผ่าเดียวที่ไม่นิยมโค่นไม้ทำลายป่า
การปกครองในหมู่บ้านกะเหรี่ยงจะมี 3 ฝ่าย คือ หัวหน้าหมู่บ้าน หมอผี และกลุ่มผู้อาวุโส
หัวหน้าหรือผู้นำหมู่บ้านจะเรียกว่า ฮีโข่ ซึ่งมีการสืบทอดสายเลือดมาทางบิดา สำหรับหมอผีจะมีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมและรักษาโรค ส่วนกลุ่มผู้อาวุโสจะเป็นผู้ที่รักษากฎ จารีตประเพณี ตัดสินคดีความและเป็นที่ปรึกษาให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน
กะเหรี่ยงเป็นสังคมเกษตรกรรมที่มีระบบเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเองเพื่อการยังชีพด้วยการปลูกข้าวไร่ ทำนาเป็นขั้นบันไดตามหุบเขา และปลูกพืชผักต่าง ๆ โดยการทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียน คือ การทำไร่ข้าวหรือปลูกพืชผักในไร่ใด ๆ ก็ตาม จะทำเพียงปีเดียวแล้วย้ายไปที่อื่น และปล่อยไร่พักทิ้งไว้ประมาณ 3-5 ปี เพื่อให้ดินได้พักฟื้นและมีความอุดมสมบูรณ์ แล้วจึงย้อนกลับมาทำไร่ในพื้นที่นั้นอีก นอกจากการทำเกษตรกรรมแล้ว กะเหรี่ยงยังเลี้ยงสัตว์ประเภท วัว ควาย หมู ไก่ เพื่อใช้ในพิธีกรรมและใช้เป็นแรงงาน ส่วนช้างจะเลี้ยงไว้เพื่อรับจ้างทำงานและแสดงถึงความมีฐานะด้วย
ประเพณีและพิธีกรรมของกะเหรี่ยงจะมีความเชื่อและนับถือในเรื่องผีและวิญญาณ ผีที่ชาวกะเหรี่ยงนับถือจะมีอยู่ 2 อย่าง คือ ผีบ้านและผีเรือน
                กะเหรี่ยงนับถือคริสต์ศาสนาและพุทธศาสนา ซึ่งก่อให้เกิดประเพณีและวัฒนธรรมในเผ่า อย่างเช่น ประเพณีปีใหม่ ประเพณีขึ้นบ้านใหม่ ประเพณีเกี้ยวสาว ประเพณีแต่งงาน และประเพณีงานศพ
สำหรับเรื่องคู่ครองของกะเหรี่ยง จะยึดหลักการครองเรือนแบบผัวเดียวเมียเดียว โดยตามประเพณีจะห้ามไม่ให้หญิงชายถูกเนื้อต้องตัวกันก่อนที่จะแต่งงาน เพราะถือเรื่องความบริสุทธิ์ทางเพศเป็นสิ่งสำคัญ หากมีการฝ่าฝืนจะถูกลงโทษโดยการปรับไหม หรือถ้ามีชู้ผิดลูกผิดเมียคนอื่นจะมีโทษถึงขั้นไล่ออกไปจาหมู่บ้านทันที สำหรับหญิงกะเหรี่ยงที่แต่งงานแล้วหรือยังไม่ได้แต่งงาน เราจะสังเกตได้จากการแต่งกาย ถ้าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะสวมชุดขาวทรงกระสอบ ถ้าหญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมชุด 2 ท่อน คือ นุ่งผ้าซิ่นและใส่เสื้อครึ่งท่อน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเห็นได้อย่างเด่นชัดระหว่างหญิงกะเหรี่ยงที่ยังโสดกับหญิงที่แต่งงานแล้ว



ม้

ม้งจะนิยมตั้งบ้านเรือนอยู่ตามพื้นที่ลาดเขาบนภูเขาสูง มีลำห้วยและสันเขาใกล้หมู่บ้าน เพราะม้งถือคติที่ว่า ?น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนก แต่ภูเขาเป็นของม้ง? ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของม้ง จะปลูกบ้านอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ ใกล้ชิดกันในกลุ่มของเครือญาติ ซึ่งจะมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงร้อยหลังคาเรือน ม้งจะปลูกบ้านติดกับพื้นดิน โดยใช้ดินเป็นพื้นเรือน ยกพื้นสูงสำหรับที่นอนเท่านั้น วัสดุที่ใช้สร้างบ้านจะมีไม้ไผ่สับฟาก หลังคามุงด้วยใบตองหรือหญ้าคา แต่ในปัจจุบันนี้ ชาวเขาม้งได้มีการพัฒนาในการปลูกสร้างบ้านเรือนจากเดิมมาเป็นสังกะสี อิฐบล็อก เสาคอนกรีต และปูนซีเมนต์ บ้างแล้ว
การปกครองของม้งในหมู่บ้านแต่ละแห้งจะมีหัวหน้าประจำหมู่บ้านเป็นผู้นำในการปกครอง ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านนี้จะเลือกจากผู้อาวุโสสูงสุดของสกุลที่มีอิทธิพลหรือสมาชิกในแซ่สกุลที่มากที่สุดในหมู่บ้าน
                ม้งเป็นสังคมเกษตรกรรม ทำไร่แบบเลื่อนลอย โค่นถางป่าเพื่อปลูกพืช เมื่อดินหมดสภาพความอุดมสมบูรณ์ก็จะย้ายไปหาที่ทำกินใหม่ สำหรับพืชหลักที่ปลูกคือ ฝิ่น ข้าวและข้าวโพด แต่ในปัจจุบันม้งได้มีการติดต่อสังคมกับคนเมืองมากขึ้น จึงได้รับอิทธิพลจากภายนอกและการพัฒนาจากหน่วยราชการต่าง ๆ ทำให้การปลูกฝิ่นบางพื้นที่ได้เลิกปลูกไปบ้างแล้ว จึงหันมาปลูกพืชอื่นที่มีรายได้ดีกว่าทดแทน เช่น การปลูกพืช ผัก ผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว ฯลฯ ซึ่งไม่จำเป็นต้องย้ายที่ปลูกไปเรื่อย ๆ เหมือนดังแต่ก่อน
                นอกจากการทำเกษตรแล้ว ม้งยังทำอุตสาหกรรมในครัวเรือนประเภทศิลปะงานฝีมือ เช่น ทอผ้า ปักลายผ้า และการทำเครื่องเงิน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ทำรายได้มาสู่ม้งอีกทางหนึ่ง
ประเพณีและวัฒนธรรม ตลอดจนความเชื่อของม้งยังคงรักษาและยึดถืออยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ประเพณีฉลองปีใหม่ ประเพณีการเกิด ประเพณีการตาย ประเพณีการเกี้ยวสาว และประเพณีการแต่งงาน ฯลฯ ม้งจะเชื่อและนับถือผีต่าง ๆ โดยจะมีทั้งผีดีและผีร้าย ได้แก่ ผีฟ้า ผีเรือน และผีทั่ว ๆ ไป

                เรื่องครอบครัวของม้ง ฝ่ายชายจะเป็นใหญ่กว่าฝ่ายหญิงตามประเพณีม้งจะอนุญาตให้ชายและหญิงมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนแต่งงานได้ แต่ห้ามแต่งงานกับคนแซ่สกุลเดียวกัน และเมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงต้องออกจากแซ่สกุลเดิมไปใช้แซ่สกุลของฝ่ายชาย ม้งจะนิยมแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว แต่ก็ไม่ห้าที่ชายจะมีเมียหลายคน เพื่อแสดงถึงฐานะทางเศรษฐกิจ

                ปัจจุบัน ชาวเขาเผ่าม้งมักจะให้ความสนใจในการศึกษามากกว่าชาวเขาเผ่าอื่น ๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย จึงทำให้ม้งหรือม้งมีความเฉลียวฉลาดและทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบันมากขึ้น
เอกลักษณ์ของม้งอีกอย่างหนึ่ง คือ นิยมเล่นดนตรีอยู่ 3 อย่าง คือ แคน ขลุ่ย และหยั่ง ส่วนศิลปะจะมีพิธีการรำถวาย พิธีโยนผ้าของหนุ่มสาว และการฟ้อนแคน ซึ่งม้งได้รับการถ่ายทอดมาแต่บรรพบุรุษและรักษาไว้จนถึงปัจจุบันนี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น